clubhouse-android

สาวก Android เฮ! Clubhouse บน Android มาแล้วจ้า!!!

Clubhouse ประกาศเริ่มทดสอบแอปเวอร์ชัน Android อย่างเป็นทางการ หลังจากที่แอปโซเชียลเน็ตเวิร์คสนทนาด้วยเสียงเป็นแอปแบบ exclusive เฉพาะ iOS มาตั้งแต่เปิดตัว ซึ่งถ้าเปิดทดสอบในช่วงนี้ ก็อาจมีโอกาสได้เห็นแอปเวอร์ชันเต็มช่วงกลางปีนี้

ล่าสุดทางนักพัฒนาแอปได้ประกาศเปิดทดสอบแอป Clubhouse บน Android แบบ Early Access แล้ว โดยจะเริ่มทยอยปล่อยในประเทศสหรัฐฯ ก่อน ตามมาด้วยประเทศที่สื่อสารด้วยภาษาอังกฤษ และสุดท้ายขยายไปทั่วโลก เพื่อการรับฟีดแบ็กเพื่อปรับปรุงและพัฒนาแอป

ในเวอร์ชันทดสอบนี้ จะยังใช้ฟีเจอร์ต่าง ๆ ได้ไม่เต็มที่สักเท่าไร เช่น การติดตามหัวข้อต่าง ๆ การแปลภาษาภายในแอป การสร้างและการจัดการคลับ การเชื่อมต่อบัญชี Instagram และ Twitter รวมถึงการรายงานบุคคลที่ยังไม่สามารถรายงานจากในห้องได้เลย (สามารถรายงานจากโปรไฟล์ของบุคคลได้)

ทั้งนี้ Clubhouse ยังได้มีคำเตือนสำหรับผู้ที่มีการใช้งานแอปพลิเคชันต่าง ๆ เข้าถึง Clubhouse ที่ไม่เป็นทางการก่อนหน้านี้ว่าควรเปลี่ยนมาใช้แอป Clubhouse อย่างเป็นทางการที่ได้ทำการเปิดตัวในครั้งนี้ เพื่อความปลอดภัยของข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้งาน

โดยเพื่อนๆสามารถเข้าไปลงทะเบียนเพื่อรับการแจ้งเตือนเมื่อแอปใช้ได้ในประเทศไทยได้ที่ Google Play Store แต่ถ้าใครอดใจรอไม่ไหว เราก็มีทางลัดให้เช่นกัน โดยสามารถดาวน์โหลดไฟล์ APK ของแอป Clubhouse ได้จากเว็บไซต์ APKMirror (กด Download) จากนั้นเปิดไฟล์เพื่อติดตั้งได้เลยจ้า

 

ขอขอบคุณบทความดีๆจาก beartai, blognone, clubhouse

Xiaomi เตรียมเปิดตัวหูฟังพร้อมฟีเจอร์ตัดเสียงรบกวนรุ่นใหม่

ทางบริษัทผู้ผลิตอุปกรณ์ไอทีชื่อดังสัญชาติจีนอย่าง Xiaomi เตรียมเปิดตัวหูฟัง TWS (True Wireless Stereo) รุ่นถัดไป โดยได้โพสต์ภาพทีเซอร์ผ่าน Weibo ซึ่งเป็นสื่อโซเชียลรายใหญ่ของจีน ซึ่งเผยให้ทราบมาพร้อมเคสและโลโกของ Xiaomi ที่ได้รับการดีไซน์ใหม่ พร้อมทั้งกำหนดการเปิดตัววันที่ 13 พฤษภาคม 2021 นี้

โดยทาง Xiaomi ได้กล่าวว่า หูฟัง TWS รุ่นนี้ จะเป็นหูฟังที่มาพร้อมฟีเจอร์ตัดเสียงรบกวนระดับเรือธง ซึ่งยังไม่มีการระบุชัดเจนว่าได้ปรับปรุงประสิทธิภาพส่วนใดบ้าง

สำหรับเคสที่ได้รับการดีไซน์ใหม่นี้ มีลักษณะเป็นทรงกลม ซึ่งสอดคล้องกับโลโกใหม่ของ Xiaomi ที่ได้รับการดีไซน์ให้มีความโค้งมน โดยได้รับการคาดหวังว่าจะยังคงรองรับการชาร์จไร้สาย และได้รับการปรับปรุงประสิทธิภาพแบตเตอรีมากขึ้น จากเดิมที่เคส Mi Air 2 Pro มีแบตเตอรีอยู่ที่ 500 mAh

 

ขอบคุณบทความดีๆจาก beartai & gsmarena

อินเทอร์เน็ตบ้านของไทย เร็วที่สุดในโลก จากการจัดอันดับของ Ookla Speedtest ปี 2020

จากการเปิดเผยข้อมูลของเว็บทดสอบความเร็วอินเทอร์เน็ตยอดฮิตอย่างเว็บไซต์ speedtest.net โดย Ooka ได้สรุปข้อมูลความเร็วของอินเทอร์เน็ตทั่วโลกประจำเดือนธันวาคม 2020 โดยที่ค่าดาวน์โหลดเฉลี่ยอยู่ที่ 308.35 Mbps. และค่าอัพโหลดอยู่ที่ 260.86 Mbps. และมีค่า Latency อยู่ที่ 7ms. ขึ้นไปอยู่อันดับ 1 แซงสิงคโปร์ที่หล่นไปอยู่อันดับ 2 และฮ่องกง หล่นอยู่อันดับ 3 เรียกได้ว่าประเทศไทยอันดับขึ้นถึง 2 อันดับเลยทีเดียว ทั้งนี้ ค่าเฉลี่ยของ Fixed Broadband ทั่วโลก ดาวน์โหลด 96.43 Mbps. และค่าอัพโหลด52.31 Mbps. และมีค่า Latency อยู่ที่ 21ms.

 

ในส่วนของความเร็วที่วัดจากการใช้งานบนอุปกรณ์มือถือนั้น อันดับ 1 เป็นของประเทศกาตาร์ ที่ความเร็วคือ 178.01 Mbps. และอันดับ 2 ถึง 4 คือ UAE , เกาหลีใต้ และจีน ตามลำดับ ส่วนประเทศไทยเราอยู่ที่อันดับ 33 มีความเร็วดาวน์โหลดแบบเฉลี่ยอยู่ที่ 51.75 Mbps. และค่าอัพโหลดอยู่ที่ 17.47 Mbps. และมีค่า Latency อยู่ที่ 28ms.
ซึ่งจากข้อมูลดังกล่าวก็จะแสดงให้เห็นว่าความเร็วอินเทอร์เน็ตบ้านของเรานั้นมีความเร็วที่ไม่แพ้ชาติใดในโลกอีกต่อไปแล้วครับ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ายินดีเป็นอย่างยิ่ง
ขอบคุณบทความดีๆจาก it24hrs.com

สอนการใช้งานฟีเจอร์ Call สำหรับ LINE Official Account

ในส่วนของ LINE Official Account นั้นเป็นที่ทราบกันดีว่านิยมใช้งานในรูปแบบของทางฝั่งผู้ประกอบการหรือเจ้าของธุรกิจต่างๆ เพื่อใช้ในการติดต่อพูดคุยกับลูกค้า ซึ่งในอดีตที่่ผ่านมานั้นเราสามารถทำได้เพียงคุยกับลูกค้าผ่านทางวิธีการ chat เท่านั้น แต่ยังไม่สามารถใช้งานฟีเจอร์ call หรือ video call ได้เหมือนกับ Line แบบส่วนตัวที่เราๆใช้คุยกับเพื่อนๆกันอยู่ทุกวันนี้ ซึ่ง ณ ตอนนี้ ในส่วนของ LINE Official Account นั้น เราสามารถที่จะใช้งานฟีเจอร์ call กันได้แล้ว แต่จะต้องมีการตั้งค่าเพิ่มเติมเพื่อที่จะใช้งานตัวฟีเจอร์ call ซึ่งวิธีการเปิดใช้งานนั้นสามารถทำได้ตามวิธีดังต่อไปนี้

 

ในส่วนของ Line Official Account ของเรา

1. เลือกปุ่ม Chat

2. เลือกปุ่มฟันเฟือง

3. จะสังเกตุว่าฟีเจอร์ Call ของเรายังถูกปิดการใช้งานอยู่ โดยให้เราเลือกหัวข้อนี้เพื่อที่จะเข้าไปยังเมนูข้างใน

 

4. จะสังเกตุว่า Voice calls กับ Video calls ปิดอยู่

5. ให้เปิดใช้งานฟีเจอร์นี้ได้เลย

6. หลังจากที่เราเปิดใช้งานแล้ว ให้เรากด Back กลับออกมา จะพบว่าาฟีเจอร์ Call ได้เปิดใช้งานแล้ว

หลังจากที่เราเปิดใช้งานฟีเจอร์ Call เรียบร้อยแล้ว ทีนี้เราจะมาทดสอบวิธีการ Call หาลูกค้าของเรากันครับ

1. เริ่มต้นจากทดสอบเลือกรายชื่อลูกค้าที่เราต้องการจะ Call โดยในที่นี้สมมุติเราเลือกลูกค้าชื่อ Windstruck จากนั้นจะเห็นปุ่ม Call request เพิ่มเข้ามาครับ

2. เมื่อคลิกปุ่ม Call request ในข้อที่ 1 แล้วจะมีหน้าต่าง Pop up ขึ้นมาถามเราอีกครั้งนึงให้เรากด Send ไปเลยครับ

3. เราจะเห็นว่า จะเป็นการส่งคำร้องขอในการโทรหาลูกค้าไปเรียบร้อยแล้วครับ

ขออธิบายเพิ่มเติมนะครับในส่วนนี้ การ Call จะไม่เหมือนกับ Line ปกติทั่วไป ที่ถ้าเรากดโทรแล้ว มันจะเป็นการโทรไปหาคนนั้นๆทันที แต่ในส่วนของ Line Offical Account นั้นจะเป็นการส่งคำร้องขอให้ลูกค้าเราสามารถโทรกลับมาหาเราได้นั่นเองครับ ซึ่งหลังจากที่เราได้ส่งคำร้องขอการโทรไปในข้อที่ 3 แล้วนั้น ลูกค้าของเราจำเป็นที่จะต้องกดปุ่ม “โทร” กลับมาหาเราเท่านั้นครับ ถึงจะเสร็จสมบูรณ์การ Call หากันนั่นเองครับ

ทีนี้เรามาดูในฝั่งของลูกค้าหรือสมาชิกกันบ้างว่าถ้าเราได้รับคำร้องขอการโทรมาจากทาง Line Official Account นั้นจะเห็นเป็นอย่างไรกันบ้างนะครับ

จากรูปเราจะเห็นว่ามีการส่งคำขอการโทรมาจาก Line Official ที่ชื่อ Academic World นะครับ ทีนี้ถ้าเราต้องการที่จะโทรคุยกัน เราก็สามารถกดปุ่มโทรได้เลยครับ

*เพิ่มเติมสำหรับ video call นะครับ : โดยเราต้องกดปุ่ม โทร เข้าไปก่อนแล้ว ในหน้าต่างการโทร เราจะเห็นปุ่มที่เป็นรูปกล้องวีดีโอขึ้นมา ถ้าเราต้องการเปิดกล้องด้วยก็สามารถกดที่ตรงนั้นได้เลยครับ

เป็นยังไงกันบ้างครับสำหรับวิธีการใช้งานฟีเจอร์ Call สำหรับ Line Official Account นั้นไม่ยากเลยใช่มั้ยครับ คราวนี้เพื่อนๆท่านไหนที่เป็นผู้ประกอบการที่กำลังใช้งาน Line Official Account กันอยู่ก็สามารถโทรหาลูกค้าของท่านได้แล้วนะครับ

 

ขอขอบคุณแหล่งข้อมูลจาก beartai

โปรแกรม CCleaner ถูกขึ้นบัญชีว่าเป็น “โปรแกรมไม่พึงประสงค์” ในสายตาของ Windows Defender เสียแล้ว

หลังจากที่เมื่อปีที่แล้ว ตัวโปรแกรม CCleaner ได้ถูกทาง Microsoft ประกาศแบนและไม่แนะนำให้ผู้ใช้คอมพิวเตอร์ติดตั้งและใช้งานโปรแกรมดังกล่าว แต่สุดท้ายก็มีข่าวออกมาบอกว่า “การแบนในที่นี้หมายถึงการแบนออกจากเว็บบอร์ดหรือ Community ของ Microsoft เท่านั้น โดยที่เมื่อมีคำว่า CCleaner ปรากฏขึ้นมาในเว็บบอร์ด ก็จะถูกลบออกไปในทันที”

แต่อย่างไรก็ตามโปรแกรมนี้ก็มีเสียงด้านลบ ๆ อยู่บ่อย ๆ ประมาณว่าเป็นโปรแกรมที่ดูจะมีประโยชน์ แต่สุดท้ายก็เปิดช่องทางให้มัลแวร์สามารถจู่โจมเครื่องของผู้ใช้งานได้ และตัวมันเองก็ชอบทำให้ Registry ของ Windows เกิดปัญหา ซึ่งจริง ๆ ทาง Microsoft ก็ไม่แนะนำให้ติดตั้งจริง ๆ นั่นแหละ

โดยล่าสุดทาง Microsoft ได้ออกมาประกาศให้โปรแกรมนี้ถูก Windows Defender มองเป็น “โปรแกรมไม่พึงประสงค์” ไปเสียแล้ว ซึ่งทาง Microsoft เองก็ได้จัดให้ตัวโปรแกรม CCleaner เป็นภัยคุกคามแบบ PUA: Win32 เนื่องจากมีการทำให้ Registry เสียหาย และมีเสียงจากผู้ใช้ส่วนใหญ่พบว่าเป็นโปรแกรมที่ไม่ค่อยเกิดประโยชน์แต่สร้างความเสียหายมากกว่าจริง ๆ และมีการนำไปขายพ่วงกับ Antivirus ของทาง Avast อีกด้วย

โดยส่วนตัวแล้วผมก็ไม่อยากแนะนำให้เพื่อนๆใช้งานตัวโปรแกรม CCleaner นี้สักเท่าไรนัก เพราะดูท่าจะมีข้อเสียมากกว่าข้อดีเสียแล้ว และในตัว Windows เองก็มีโปรแกรมที่เอาไว้จัดการ cleanup พวก data storage อยู่แล้ว เช่น Disk Cleanup ซึ่งเราสามารถลบพวกขยะและ Temp files ต่างๆออกไปได้ โดยที่ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาโปรแกรม CCleaner แต่อย่างใด ซึ่งอาจจะส่งผลทำให้ Registry ของตัว Windows ของเราเสียหายอีกด้วยครับ

 

ขอขอบคุณบทความดีๆจาก beartai

ในที่สุดก็มาสักทีกับ AirDrop version Andriod ด้วยฟีเจอร์ Nearby Share ของ Google

Nearby Share พูดง่าย ๆ ก็คือ AirDrop เวอร์ชัน Android ให้ผู้ใช้งานสามารถแชร์ไฟล์ เช่น รูปภาพ ลิงค์ วิดีโอ และอื่น ๆ ระหว่างอุปกรณ์ Android ด้วยกันได้ โดยรองรับตั้งแต่ Android 6 เป็นต้นไป ปัจจุบันมีอุปกรณ์ Google Pixel และ Samsung บางรุ่นเท่านั้นที่ใช้งานได้ แต่ Google ยืนยันว่าอุปกรณ์อีกหลาย ๆ รุ่นจะสามารถใช้งานได้ในไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า

ส่วนวิธีการใช้งาน Nearby Share ก็สามารถทำได้ง่าย ๆ โดยการกดที่ไอคอนแชร์ แล้วเลือก Nearby Share จากนั้นก็สามารถแชร์ไฟล์กับอุปกรณ์อื่น ๆ ที่ปรากฏบนหน้าจอได้เลย

ตัวฟีเจอร์ Nearby Share นี้จะสามารถใช้ได้ทั้งกับการแชร์ไฟล์ ลิงค์ รูปภาพ และอื่น ๆ อีกมากมายให้กับคนที่อยู่รอบข้าง โดยสามารถใช้ได้ทั้งแบบออนไลน์และออฟไลน์ โดยระบบจะเลือกอัตโนมัติว่าวิธีการแชร์แบบไหนเป็นวิธีที่ดีที่สุดและง่ายที่สุด Bluetooth, Bluetooth LE, WebRTC หรือ peer-to-peer WiFi

 

ผู้ใช้งานสามารถตั้งค่า Nearby Share ได้หลายระดับ ตั้งแต่เห็นทุกคนที่เปิดใช้ฟีเจอร์นี้ หรือเลือกเปิดให้เห็นบางคน หรือซ่อนเอาไว้ก่อนก็ได้ โดยฟีเจอร์ Nearby Share นั้นจะสามารถแชร์ไฟล์ต่าง ๆ ผ่านอุปกรณ์ Android และ Chromebook ได้ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า แต่ไม่รองรับการแชร์ไฟล์ร่วมกับอุปกรณ์ iOS, macOS และ Windows แต่ตัวแทนของ Google บอกว่ามีแผนขยายการรองรับแพลตฟอร์มอื่น ๆ ในอนาคต

ขอขอบคุณบทความดีๆจาก
beartai
geeksroom

ลาก่อนหูฟังทั้งหลาย เพราะเทคโนโลยี Neuralink ของ Elon Musk จะทำให้คุณฟังเพลงโดยตรงได้จากสมอง

เรื่องนี้อาจจะเป็นข่าวที่จะช็อควงการหูฟังของหลายๆค่ายกันเลยทีเดียว เนื่องจากทางด้านนาย อีลอน มักส์ (Elon Musk) ผู้ซึ่งเป็นเจ้าของบริษัทชั้นนำทางด้านเทคโนโลยีระดับโลก ได้ออกมาบอกว่า ในวันที่ 28 สิงหาคมนี้ จะมีการเปิดตัวโชว์ศักยภาพครั้งแรกของเทคโนโลยี Neuralink ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ใช้สำหรับการฝังชิปคอมพิวเตอร์ลงในสมองเพื่อการเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ แต่ ณ ตอนนี้ทางด้านนายอีลอนยังไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดอะไรมากนัก แต่เจ้าตัวเองก็ไม่อาจที่จะหยุดพูดถึงเทคโนโลยีตัวนี้อยู่เรื่อยๆ

โดยล่าสุดนักวิทยาศาสตร์ทางด้านคอมพิวเตอร์นามว่า ออสติน ฮาวาร์ด (Austin Howard) ได้ถามกับตัวอีลอนเองว่า เป็นไปได้มั้ยว่าเทคโนโลยีตัวนี้จะสามารถใช้ฟังเพลงได้ในสักวันนึง ซึ่งเจ้าตัวอีลอนเองก็ได้ตอบกลับไปว่า “มันเป็นไปได้อย่างแน่นอน”

ซึ่งการทำงานของตัวชิป Neuralink นั้นสามารถส่งคลื่นเสียงไปยังสมองได้โดยตรง ด้วยการส่งคลื่นเสียงไปยังเส้นประสาทหู (vestibular cochlear nerve) ซึ่งเป็นส่วนที่สำคัญในการทำให้มนุษย์เรานั้นได้ยินเสียง และจะสามารถทำให้เราได้ยินเสียงเพลงโดยที่ไม่ต้องใส่หูฟังเข้าไปตรงๆ แต่จะเป็นการฟังผ่านเส้นประสาทในสมองนั้นเอง ซึ่งก็ถือว่าเป็นเรื่องที่แปลกใหม่สำหรับพวกเราอย่างมาก

โปรเจค Neuralink นั้นได้เปิดตัวขึ้นในปี 2019 ที่ผ่านมานี้เอง แต่ถึงวันนี้แล้ว เราก็ยังไม่ทราบรายละเอียดเกี่ยวกับตัวเทคโนโลยีตัวนี้มากเท่าไหร่นัก แต่จากที่นายอีลอนเคยโชว์ให้ดูในเวอร์ชันก่อนๆว่าจะสามารถรักษาคนที่เป็นโรคทางด้านประสาทอย่างโรคพาร์กินสันได้ และอีกหนึ่งเคสที่อีลอนคอนเฟิร์มเองคือเทคโนโลยีนี้จะสามารถช่วยลดระดับฮอร์โมนอย่างพวก oxytocin และ serotonin เพื่อช่วยลดความเครียดในกลุ่มคนที่เป็นโรค PTSD ได้

เป็นอย่างไรกันบ้างครับเพื่อนๆ กับเทคโนโลยีสุดเจ๋งอีกอย่างนึงของนายอีลอน ซึ่งก็ถือได้ว่าเป็นเทคโนโลยีสุดล้ำที่อาจจะเข้ามาเปลี่ยนวงการของการฟังเพลงไปได้อย่างคาดไม่ถึงกันเลยทีเดียว

 

ขอขอบคุณบทความดีๆจาก beartai

Apple ออกมาเตือนผู้ใช้ Macbook ให้ระวังหากมีอะไรติดอยู่บริเวณกล้อง อย่าเพิ่งปิดหน้าจอเพราะอาจส่งผลทำให้หน้าจอเสียหายได้

โดยในเดือนนี้ทาง Apple ได้ออกเอกสารเตือนเหล่าสาวกทั้งหลายเกี่ยวกับการใช้งาน Macbook ว่าให้ระวังการใช้งาน Macbook ของท่าน หากเกิดมีอะไรติดอยู่ที่ตัวกล้องของเครื่อง การพับหน้าจอลงอาจจะทำให้หน้าจอเกิดความเสียหายได้

เนื่องจาก Apple บอกว่า ช่องว่างระหว่างหน้าจอกับคีย์บอร์ดนั้นถูกออกแบบมาให้แคบมากๆ ซึ่งสิ่งนี้เองจะทำให้เกิดปัญหาที่ว่าขึ้นได้ และการที่เราเอาอะไรไปปิดกล้องของ Macbook ในขณะที่เปิดเครื่องอยู่นั้นก็อาจส่งผลทำให้เกิดปัญหากับระบบปรับแสงอัตโนมัติและ True Tone อีกด้วย

การออกมาเตือนของ Apple ในครั้งนี้เกิดจากการที่มีผู้ใช้งาน Macbook Pro ท่านนึงได้นำเอาตัวปิดกล้องหน้าของ Macbook มาติดไว้ โดยที่ปัญหาที่ว่านี้จะเกิดขึ้นเป็นพิเศษกับ Macbook pro รุ่น 16 นิ้วตัวใหม่

แต่สำหรับใครที่ซื้อประกันกับ AppleCare+ ไว้ก็คงจะสบายใจได้เพราะความเสียหายในส่วนนี้ทาง Apple เค้าก็ยินดีที่จะซ่อมให้ แต่ถ้าใครที่ไม่มีประกันในส่วนตรงนี้ก็คงจะต้องจ่ายหนักหน่อยเพราะค่าซ๋อมมีราคาที่สูงพอสมควรเลยทีเดียวครับ

สำหรับเพื่อนๆที่เป็นกังวลเกี่ยวกับเรื่องการที่กล้องจะโดนแฮคนั้น ทาง Apple ได้ออกมาบอกว่าไม่ต้องเป็นห่วงไปเพราะกล้องของ Macbook นั้นได้รับการออกแบบทางวิศวกรรมเพื่อป้องกันไม่ให้สามารถใช้งานกล้องได้ถ้าหากไม่มีไฟแสดงสถานะเปิดอยู่ ซึ่งก็คงจะทำให้เหล่าสาวกทั้งหลายเบาใจขึ้นไม่มากก็น้อยนะครับ

 

ขอขอบคุณข้อมูลจาก beartai

แอปฯ CamScanner เวอร์ชั่น Free บน Android ตรวจพบว่ามี Malware ดักข้อมูลเครื่อง

เว็บไซต์ The Hacker News เปิดเผยว่าแอปพลิเคชั่น CamScanner ซึ่งเป็นแอปฯสแกนเอกสารชื่อดัง ที่มีผู้ใช้จาก Andriod มากกว่า 100 ล้านราย ได้ถูกตรวจพบว่าถูกฝังมัลแวร์ดักข้อมูลในเวอร์ชั่น Free ซึ่งสำหรับใครที่กำลังใช้อยู่ก็ให้รีบลบออกโดยด่วน เพื่อความปลอดภัยของข้อมูลท่าน ซึ่งตอนนี้ Google Play Store ได้ทำการนำแอปฯตัวนี้ออกจากร้านค้าไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

โดย Hacker ได้ทำการโจมตีแอปฯ CamScanner ตัวนี้ผ่านช่องทางการโฆษณาของ 3rd Party ซึ่งในปัจจุบันส่วนใหญ่จะมีอยู่ในแอปฯฟรีเพื่อหารายได้มาใช้ในการพัฒนาแอปฯต่อ ซึ่งการโจมตีนี้ถูกค้นพบโดย Kaspersky Security Researcher นักวิจัยของโปรแกรมป้องกันไวรัสชื่อดัง Kaspersky ผ่านจากการสำรวจความพึงพอใจในการใช้งานแอปฯ ว่า แอปฯ CamScanner กำลังได้รับคำแนะนำด้านลบว่า มีฟีเจอร์แปลก ๆ โผล่ออกมาหลังจากใช้งาน จึงได้ทำการตรวจสอบและพบกับ Malware ตัวดังกล่าวนั่นเอง

แต่สำหรับผู้ใช้งานที่ใช้แอปฯนี้รุ่นเสียเงิน ก็ไม่จำเป็นต้องกังวลไปเพราะไม่มีรายงานการตรวจพบ Malware แต่อย่างใด

จากเหตุการณ์นี้มีสิ่งที่น่าสนใจว่า แอปฯที่เปิดให้ดาวน์โหลดได้ใน Google Play Store นั้นก็ไม่ได้แปลว่าจะปลอดภัย 100% เสมอไป เพราะฉะนั้นแล้วสำหรับใครที่เป็นนักโหลดแอปฯมาเล่นไปเรื่อย ก็ควรที่จะตรวจสอบข้อมูลของแอปฯตัวนั้นสักหน่อย ว่ามีความน่าเชื่อถือมากน้อยแค่ไหนก่อนที่จะโหลดมาใช้งานดีกว่าครับ

ขอขอบคุณบทความดีๆจาก
beartai
aripfan
thehackernews
ขอบคุณรูปภาพจาก
gadgetbytenepal

Baidu ทำยอดขายลำโพงอัจฉริยะทั่วโลกแซงพี่ใหญ่อย่าง Google ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

Baidu เป็นบริษัทเสิร์ชเอนจินสัญชาติจีนที่มีลักษณะคล้ายกับพี่ใหญ่อย่างบริษัท Google นั้น สามารถทำยอดขายลำโพงอัจฉริยะขึ้นมาเป็นอันดับที่สอง แซง Google อย่าง google home ไปเป็นที่เรียบร้อย โดยที่อับดับหนึ่งยังคงเป็นของ Amazon

Canalys ซึ่งเป็นบริษัทวิเคราะห์ตลาดได้รายงานว่า ในปัจจุบัน Baidu มีส่วนแบ่งการตลาดของลำโพงอัจฉริยะทั่วโลกอยู่ที่ 17.3% ซึ่งสามารถทำยอดขายในช่วงไตรมาสที่สองได้ถึง 4.5 ล้านชิ้นเลยทีเดียว โดยมีอัตราการเติบโตสูงถึง 3,700% เป็นรองเพียงแค่ Amazon ที่ยังคงรั้งอันดับหนึ่ง ครองส่วนแบ่งการตลาดลำโพงอัจฉริยะที่ 25% ขายสินค้าไปได้ทั้งหมด 6.6 ล้านชิ้น

ลำโพงอัจฉริยะ Baidu นั้นประมวลผลด้วย AI โดยการใช้แพลตฟอร์มของ DuerOS ในตอนแรกบริษัทได้พุ่งเป้าการตลาดไปที่ตลาดกลุ่มบนหรือไฮเอนด์ด้วยลำโพงที่ชื่อว่า Raven H ถูกออกแบบโดยทีม Teenage Engineering ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์สัญชาติสวีเดน แต่ยอดขายกลับไม่เป็นไปตามที่ต้องการ Baidu จึงได้เลือกหันมาผลิตลำโพงที่มีราคาถูกกว่าอย่างมากซึ่งก็คือเจ้าตัว Xiaodu ที่ขายในราคาเพียง 89 หยวน หรือประมาณ 380 บาทเท่านั้นเอง จึงทำให้ยอดขายแซง Alibaba ที่เป็นเจ้าตลาดท้องถิ่นในจีนได้เป็นอย่างดี

แต่อย่างไรก็ตาม Baidu เองนั้นไม่ได้เป็นคู่แข่งโดยตรงกับ Google เนื่องจากว่า Baidu เค้าเน้นทำสินค้าขายให้กับคนในประเทศหรือก็คือจีนนั้นเอง ต่างกับ Google ที่เค้าเน้นขายสินค้าให้กับคนทั่วโลกแต่ไม่ได้จำหน่ายใจประเทศจีน จึงทำให้เกิดความแตกต่างกันในเรื่องของกลุ่มเป้าหมายที่ไม่เหมือนกันนั้นเอง

ขอขอบคุณบทความดีๆจาก
beartai

ขอบคุณรูปภาพจาก

chinamoneynetwork